อาการไอ เป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกายในการขับสิ่งแปลกปลอมออกจากระบบทางเดินหายใจ แต่อาการไอเรื้อรังหรือไอไม่หยุดอาจรบกวนชีวิตประจำวันและการพักผ่อน โดยเฉพาะหากเกิดจากการติดเชื้อ หรือภาวะระคายเคืองในหลอดลม บทความนี้จะสรุปสาเหตุที่พบบ่อยของอาการไอ พร้อมวิธีดูแลให้หายไวตามหลักการแพทย์
สาเหตุที่ทำให้ไอไม่หาย
- การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ ซึ่งมักทำให้เกิดอาการไอแห้งหรือไอมีเสมหะ - ภูมิแพ้หรือโรคหอบหืด
มักมีอาการไอเรื้อรัง โดยเฉพาะตอนกลางคืน หรือหลังสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ - กรดไหลย้อน (GERD)
กรดจากกระเพาะไหลย้อนขึ้นมา ทำให้ระคายเคืองคอ เกิดอาการไอเรื้อรังโดยไม่มีไข้ - การสูบบุหรี่หรืออยู่ในที่ที่มีมลภาวะ
ควันบุหรี่ ฝุ่นละออง และสารเคมี ทำให้เกิดการระคายเคืองในทางเดินหายใจ - ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
เช่น ยาลดความดันโลหิตกลุ่ม ACE inhibitor ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไอแห้ง
วิธีดูแลอาการไอให้หายเร็ว
- ดื่มน้ำอุ่นบ่อย ๆ
ช่วยให้เสมหะละลายง่ายขึ้น ลดการระคายเคืองคอ และทำให้ชุ่มคอ - กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ
วันละ 2-3 ครั้ง ช่วยลดเชื้อแบคทีเรียและบรรเทาอาการเจ็บคอ - ใช้ยาละลายเสมหะหรือยาระงับอาการไอตามอาการ
ควรเลือกใช้ยาที่เหมาะกับลักษณะของอาการไอ เช่น ไอแห้งใช้ยาระงับการไอ ไอมีเสมหะใช้ยาละลายเสมหะ โดยควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนใช้ยา - หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงฝุ่น ควัน และอากาศเย็นจัด หรือสถานที่อับชื้น - พักผ่อนให้เพียงพอและรับประทานอาหารมีประโยชน์
ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น
ควรพบแพทย์เมื่อใด
- ไอเกิน 2 สัปดาห์โดยไม่ดีขึ้น
- มีไข้สูง หอบเหนื่อย หรือเจ็บหน้าอก
- ไอมีเลือดปน หรือเสมหะสีเขียว/เหลืองเข้ม
- ไอร่วมกับน้ำหนักลด เหงื่อออกกลางคืน อ่อนเพลียผิดปกติ
สรุป
อาการไอ สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การติดเชื้อหวัด ไปจนถึงโรคเรื้อรังในระบบทางเดินหายใจ การดูแลตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น ดื่มน้ำอุ่น พักผ่อน และใช้ยาให้ตรงกับอาการ จะช่วยให้อาการดีขึ้นเร็วขึ้น แต่หากอาการไอเรื้อรังหรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาอย่างเหมาะสม