โรคแพนิค (Panic Disorder) คือภาวะทางจิตเวชที่ทำให้เกิดอาการตกใจหรือกลัวอย่างรุนแรงแบบฉับพลัน โดยไม่มีสิ่งกระตุ้นที่ชัดเจน ซึ่งต่างจากอาการกลัวทั่วไป โรคนี้สามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้มาก หากไม่รู้ตัวหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
โรคแพนิค คืออะไร?
หมอมีฟ้า จากสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย อธิบายว่า โรคแพนิคพบได้ในประชากรประมาณ 2–5% และมักเริ่มจาก “อาการแพนิคเฉียบพลัน” (Panic Attack) เช่น ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม ซึ่งหากมีอาการลักษณะนี้บ่อยๆ โดยไม่มีสาเหตุทางกาย หรือจากยา อาจพัฒนาเป็นโรคแพนิคได้
10 สัญญาณอันตราย เสี่ยงโรคแพนิค
หากคุณมีอาการทางร่างกาย พร้อมกัน 4 อย่างขึ้นไป ดังต่อไปนี้ ควรสังเกตตนเองอย่างจริงจัง:
- ใจสั่น
- หัวใจเต้นแรงหรือเร็วผิดปกติ
- หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจไม่เข้า
- แน่นหน้าอก อึดอัด
- มึนศีรษะ รู้สึกจะเป็นลม
- เหงื่อแตก
- ตัวสั่น
- คลื่นไส้ หรือปั่นป่วนในช่องท้อง
- มือเท้าชา หรืออ่อนแรง
- รู้สึกวูบวาบ หรือร้อนวูบในร่างกาย
หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นเฉพาะบางสถานการณ์ เช่น เวลาขึ้นเครื่องบิน พูดต่อหน้าคน หรือเจอสถานการณ์เครียดจัดเพียงครั้งเดียว อาจยังไม่ถือว่าเป็น “โรคแพนิค” แต่หากเกิด ซ้ำๆ โดยไม่มีเหตุที่ชัดเจน และส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาจเข้าข่ายเป็นโรคนี้
วิธีดูแลและรักษาโรคแพนิค
1. พบแพทย์ตรวจวินิจฉัย
โรคหัวใจ, ไทรอยด์, ภาวะลมชัก และสารบางชนิดเช่นคาเฟอีน หรือกัญชา อาจก่อให้เกิดอาการคล้ายแพนิคได้ ต้องตรวจแยกแยะให้แน่ชัดก่อนเริ่มรักษา
2. การรักษาด้วยยา
- ยากลุ่มเบนโซไดอะซีพีน (Benzodiazepine) เช่น Alprazolam, Diazepam ใช้เฉพาะเมื่อมีอาการฉุกเฉิน
- ยาต้านซึมเศร้า (Antidepressants) ใช้ควบคุมอาการแพนิคในระยะยาว ออกฤทธิ์ภายใน 2 สัปดาห์
3. ฝึกการควบคุมลมหายใจ
- นั่งพัก ตั้งสติ
- หายใจเข้า นับ 1–4 / หายใจออก นับ 1–6
- หายใจลึกและช้า ไม่ตื้นหรือถี่เกินไป
สรุป
โรคแพนิคเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้ในช่วงที่ไม่ได้รู้สึกเครียดก็ตาม หากพบว่าเริ่มมีอาการร่างกายผิดปกติแบบซ้ำๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด การรักษาอย่างเหมาะสมทั้งทางยาและพฤติกรรมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอย่างมั่นใจอีกครั้ง