กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะนำให้คนไทยหันมากิน “สับปะรด” เพื่อร่วมบรรเทาปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำในช่วงฤดูร้อน พร้อมตอกย้ำว่าสับปะรดเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะด้านการต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ทั้งยังเป็นผลไม้ที่สามารถทานแทนขนมหวานได้ดีในชีวิตประจำวัน
ทำไมสับปะรดถึงควรกินในช่วงนี้?
แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยเผชิญปัญหาราคาผลผลิตสับปะรดตกต่ำ จึงเป็นโอกาสที่คนไทยควรหันมาบริโภคสับปะรดมากขึ้น นอกจากจะได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรง
สับปะรดอุดมไปด้วย
- เบต้าแคโรทีน: บำรุงสายตา ต้านการอักเสบ
- วิตามินซี: ช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก เสริมภูมิคุ้มกัน
- ใยอาหาร: กระตุ้นการขับถ่าย ป้องกันท้องผูก
- สารต้านอนุมูลอิสระ: ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ต้องการสารอาหารเหล่านี้มากกว่าวัยอื่น
ปริมาณการกินสับปะรดที่เหมาะสม
แพทย์หญิงนภาพรรณ วิริยะอุตสาหกุล ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ แนะนำให้กิน สับปะรดวันละ 6–8 ชิ้นคำ หรือประมาณ 1 ส่วนของผลไม้ จากทั้งหมด 3–5 ส่วนที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน ทั้งนี้อาจผสมกับผลไม้ชนิดอื่น เช่น กล้วย ฝรั่ง มะม่วง หรือมะละกอ เพื่อให้ครบตามหลักโภชนาการ
ผู้สูงอายุที่ระบบย่อยอาหารเริ่มเสื่อม สามารถกินผลไม้วันละ 1–3 ส่วนก็เพียงพอ โดยแนะนำให้กินหลังอาหารแทนขนมหวาน เพื่อควบคุมน้ำตาลและไขมันในร่างกาย
วิธีลดความเสี่ยงมะเร็งควบคู่กับการกินผลไม้
- หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง อาหารหมักดอง ปิ้งย่าง หรืออาหารสุกๆ ดิบๆ
- ห้ามบริโภคอาหารที่ขึ้นรา เช่น ถั่วหรือข้าวเก่าที่เก็บไม่ดี
- งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพราะเป็นตัวกระตุ้นมะเร็งหลายชนิด
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดที่อาจเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง
- เลือกกินผลไม้สด แทนขนมหวานหรือขนมขบเคี้ยวที่มีแป้งและน้ำตาลสูง
สรุป
สับปะรด ไม่เพียงเป็นผลไม้ที่ช่วยคลายร้อน แต่ยังให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงร่างกาย และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ หากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม วันละ 6–8 ชิ้นคำ และกินร่วมกับผลไม้อื่นให้ครบ 3–5 ส่วนต่อวัน จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินและใยอาหารอย่างเพียงพอ พร้อมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเกษตรกรไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตราคาผลผลิตตกต่ำในฤดูร้อนไปได้ด้วย