การที่ แมวกัด เจ้าของหรือคนใกล้ชิดนั้น เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้บ่อย แต่ความหมายของการกัดนั้นสามารถตีความได้หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับความรุนแรง รูปแบบการกัด และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในฐานะทาสแมว การทำความเข้าใจพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยให้เราอยู่ร่วมกับน้องเหมียวได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย
ความหมายของการที่แมวกัด แปลว่าอะไร?
พฤติกรรมการกัดของแมวสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบมีความหมายที่แตกต่างกัน ดังนี้:
1. กัดเบาๆ หรือ “งับ” เพื่อแสดงความรักและความผูกพัน
- ลักษณะ: มักเป็นการงับเบาๆ หรือ “เล็ม” โดยไม่ตั้งใจให้เกิดบาดแผล บางครั้งทำร่วมกับการคลอเคลีย หรือการเลียขน
- ความหมาย: เป็นการแสดงออกถึงความรัก ความผูกพัน และความรู้สึกสบายใจในรูปแบบของแมว คล้ายกับการที่แม่แมวคาบหรือทำความสะอาดลูกแมว
- สิ่งที่ต้องระวัง: บางครั้งแมวอาจจะ “หมั่นเขี้ยว” หรือตื่นเต้นกับเรามากเกินไป จนเผลองับแรงขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
2. กัดเพื่อเตือนเมื่อถูกรบกวนมากเกินไป (Overstimulation)
- ลักษณะ: มักเกิดขึ้นขณะที่เรากำลังลูบหรือเล่นกับแมวในบริเวณที่เขาไม่ชอบ (เช่น ท้อง) หรือลูบติดต่อกันนานเกินไป แมวจะแสดงสัญญาณเตือนก่อน เช่น หางกระดิกแรง หูพับไปด้านหลัง หรือเริ่มเกร็งตัว
- ความหมาย: แมวกำลังส่งสัญญาณว่า “พอแล้ว” หรือ “ต้องการพื้นที่ส่วนตัว” การกัดในลักษณะนี้คือการสื่อสารที่ชัดเจนว่าความอดทนของเขาหมดลงแล้ว
3. กัดขณะเล่น หรือพฤติกรรมเลียนแบบการล่าเหยื่อ
- ลักษณะ: เป็นการกัดที่เกิดขึ้นระหว่างการเล่นซน มักเกิดขึ้นในลูกแมวหรือแมววัยรุ่นที่ไม่ได้เรียนรู้การควบคุมแรงกัดจากแม่หรือพี่น้องในครอก
- ความหมาย: เป็นพฤติกรรมตามสัญชาตญาณของการล่าเหยื่อ แมวอาจมองมือหรือเท้าของเราเป็น “เหยื่อ” ที่น่าสนุก
- การแก้ไข: ควรเปลี่ยนจากการเล่นด้วยมือหรือเท้าเป็นการใช้ ของเล่น ที่มีระยะห่าง เช่น ไม้ตกแมว เพื่อไม่ให้แมวเข้าใจผิดว่าอวัยวะของเราคือของเล่น
4. กัดเพราะกลัว เครียด หรือบาดเจ็บ
- ลักษณะ: มักเป็นการกัดที่รุนแรงและมีพฤติกรรมก้าวร้าวร่วมด้วย เช่น ขู่ฟ่อ ขนตั้งชัน
- ความหมาย: แมวรู้สึกว่าตกอยู่ในอันตรายและกำลังป้องกันตัว หรือกำลังรู้สึก ไม่สบายตัว ป่วย หรือบาดเจ็บ ในบริเวณที่เราไปสัมผัส
- สิ่งที่ต้องทำ: ให้หยุดกิจกรรมทั้งหมดและถอยออกมาเพื่อให้แมวได้สงบลง และควรพาไปตรวจสุขภาพหากพฤติกรรมก้าวร้าวเกิดขึ้นอย่างผิดปกติ
ข้อควรระวังทางการแพทย์: เมื่อแมวกัดแรงจนเป็นแผล
แม้ว่าแมวที่บ้านจะน่ารักเพียงใด แต่การถูกแมวกัดจนเป็นแผลลึกถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญทางสุขภาพ เนื่องจากเขี้ยวของแมวมีความแหลมคมและยาวมาก ทำให้เชื้อโรคสามารถลงไปลึกถึงเนื้อเยื่อหรือกระดูกได้ง่าย โอกาสที่แผลแมวกัดจะติดเชื้อนั้นสูงกว่าแผลสุนัขกัดถึง 2 เท่า
อันตรายที่อาจเกิดขึ้น:
- การติดเชื้อแบคทีเรีย:
- แผลแมวกัดมักพบเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด โดยเฉพาะ Pasteurella multocida ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการบวม แดง ร้อน และปวดอย่างรุนแรงภายใน 12-24 ชั่วโมง หากปล่อยทิ้งไว้ อาจลุกลามเป็นการติดเชื้อในกระดูกหรือข้อต่อ
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อ แบคทีเรียกินเนื้อคน (Atypical Necrotizing Fasciitis) ซึ่งร้ายแรงมาก
- โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies): เป็นโรคอันตรายถึงชีวิตที่ติดต่อได้จากการถูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (รวมถึงแมว) กัดหรือข่วน
- โรคบาดทะยัก (Tetanus): แผลลึกจากเขี้ยวแมวมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อบาดทะยักสูง
การปฐมพยาบาลและการดูแลรักษา:
- ล้างแผลทันที: ให้ล้างแผลด้วย สบู่และน้ำสะอาด หลาย ๆ ครั้งอย่างน้อย 15-20 นาที จากนั้นทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ (เช่น โพวิโดน-ไอโอดีน)
- ห้ามเย็บแผล (โดยทั่วไป): โดยทั่วไปแพทย์จะไม่แนะนำให้เย็บแผลแมวกัดทันที เพราะอาจทำให้เชื้อโรคถูกกักอยู่ภายในและลุกลามได้ง่ายขึ้น แพทย์มักจะให้ยาปฏิชีวนะก่อน
- รีบไปพบแพทย์: หากแผลลึก มีเลือดออกมาก แผลบวมแดง หรือแมวที่กัดไม่มีประวัติการฉีดวัคซีน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการประเมินความเสี่ยง การทำแผล และการพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกัน โรคพิษสุนัขบ้า และ บาดทะยัก
สรุป
การที่แมวกัดเป็นเรื่องของการ สื่อสาร ที่สำคัญ การกัดเบาๆ อาจหมายถึงความรักหรือการเล่น แต่ การกัดแรง คือสัญญาณเตือนว่าแมวกำลังไม่พอใจ เครียด หรือมีปัญหาบางอย่าง แต่ไม่ว่าจะกัดในรูปแบบใด หากเกิดบาดแผลลึก ความปลอดภัยทางสุขภาพต้องมาเป็นอันดับแรก จงสังเกตพฤติกรรมของแมวอย่างเข้าใจ และดูแลตนเองให้ปลอดภัยอยู่เสมอ