ไข้เลือดออก (Dengue Fever) เป็นโรคติดต่อที่พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง อาจลุกลามจนเกิดภาวะช็อก และเป็นอันตรายถึงชีวิต การรู้เท่าทันอาการในแต่ละระยะและการป้องกันที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สาเหตุของโรคไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ (DEN-1 ถึง DEN-4) โดยมียุงลายบ้าน (Aedes aegypti) และยุงลายสวน (Aedes albopictus) เป็นพาหะ เชื้อไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายเมื่อยุงที่มีเชื้อกัดคน และเริ่มเพิ่มจำนวนภายในร่างกาย ผู้ที่เคยติดเชื้อสายพันธุ์หนึ่ง หากได้รับเชื้อสายพันธุ์อื่นในภายหลัง อาจมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงมากขึ้น
อาการของโรคไข้เลือดออก (แบ่ง 3 ระยะ)
1. ระยะไข้สูง (3–7 วันแรกหลังรับเชื้อ)
- ไข้สูงเฉียบพลัน 39–41°C ไม่ลดด้วยยาลดไข้ทั่วไป
- ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ หน้าแดง อ่อนเพลีย
2. ระยะวิกฤต (24–48 ชั่วโมงหลังไข้ลด)
- อันตรายที่สุด แม้ไข้ลดลง แต่อาจเกิดภาวะพลาสมารั่ว
- สัญญาณเตือน ได้แก่ มือเท้าเย็น ตัวเย็น ชีพจรเบาเร็ว ปัสสาวะน้อย
- อาจมีเลือดออกใต้ผิวหนัง เลือดกำเดา หรืออาเจียนเป็นเลือด
3. ระยะฟื้นตัว
- ร่างกายกลับมาทำงานปกติ
- รับประทานอาหารได้มากขึ้น ปัสสาวะใสขึ้น
- อาการโดยรวมดีขึ้นภายใน 2–4 วัน
การป้องกันโรคไข้เลือดออกอย่างถูกวิธี
1. ป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด
- สวมเสื้อผ้ามิดชิดเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยง
- ใช้ยาทากันยุง หรือสเปรย์ไล่ยุง
- นอนในมุ้งหรือห้องที่มีม่านกันยุง แม้ในเวลากลางวัน
2. ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
- เปลี่ยนน้ำในภาชนะ เช่น แจกันหรือถาดรองกระถางต้นไม้ทุก 7 วัน
- ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำให้สนิท
- ใส่ทรายอะเบทในแหล่งน้ำขังที่ไม่สามารถเททิ้งได้
- กำจัดภาชนะที่เก็บน้ำ เช่น ยางรถ กระป๋อง ขวดน้ำเก่า
3. ควบคุมการแพร่เชื้อในชุมชน
- หากมีผู้ป่วยในบ้านหรือใกล้เคียง ควรเพิ่มมาตรการควบคุมยุง
- ยุงที่กัดผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้สู่คนอื่นภายใน 8–12 วันหลังติดเชื้อ
ไข้เลือดออก เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้หากรู้จักหลีกเลี่ยงยุงลายและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน หากพบอาการไข้สูงเฉียบพลัน เบื่ออาหาร หรือมีอาการแทรกซ้อน เช่น ปัสสาวะน้อย เลือดออกผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ และหลีกเลี่ยงการใช้ยาในกลุ่มแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเลือดออกได้มากขึ้น การรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ คือกุญแจสำคัญในการลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้